รวม iPhone น่าซื้อปลายปี 2023 ใครกำลังเล็งจะซื้อ iPhone รุ่นใหม่ และยังสงสัยอยู่ว่าตัวเองเหมาะกับ iPhone รุ่นไหนดี บทความนี้โฟกัสจะมาสรุป 5 รุ่น iPhone ที่ยังน่าซื้อ ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ไปจนถึงรุ่นท้อป Flagship กันเลย พร้อมสรุปสเปค จุดเด่นและราคาล่าสุด เพื่อให้ทุกคนสามารถตัดสินใจซื้อกันได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ
1) iPhone 11 ตัวเริ่มต้น ในงบ 20,000
ตัวแรกนี้ถือว่าเป็น iPhone ในงบไม่เกิน 20,000 ที่ถือว่ายังน่าซื้ออยู่ ก็คือ iPhone 11 นั่นเอง ที่แม้ว่าจะเปิดตัวไปแล้ว 4 ปีแต่สเปคโดยรวมถือว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างลื่นไหล สบายๆ เลยด้วยชิปเซ็ต A13 Bionic
โดย iPhone 11 ก็ยังสามารถอัพเดทเป็น iOS ล่าสุดได้อยู่ และเป็นรุ่นที่บอกกันว่ากล้องโทนสีสวยที่สุด พร้อมความละเอียดกล้อง 12 ล้านพิกเซล ซึ่งจริงๆ ความคมชัดเทียบเท่ารุ่น iPhone 14 ธรรมดาเลยเพียงแต่การถ่ายภาพในที่แสงน้อย อาจจะยังเก็บรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก กับจะมีเรื่องจอภาพที่เป็นความละเอียดแบบ IPS-LCD ไม่ได้ถึงระดับจอ OLED ทำให้สายชอบดูหนังก็อาจจะไม่ค่อยสะใจกัน และรองรับถึงแค่ 4G เท่านั้น
ดังนั้นถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเทคโนโลยีต้องรุ่นใหม่ หรือเรื่องความเร็วแรง และไม่ได้เน้นใช้ภาพกราฟฟิกหนักๆ iPhone 11 ก็ถือว่าเป็นตัวเริ่มต้นของ iPhone ที่ดีเลยครับ โดยราคาตอนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 16,000-18,000 บาท (ราคาอ้างอิงจากตัวแทนจำหน่ายของ Apple)
ซึ่งถ้าใครกำลังเล็งจะเป็นเจ้าของ iPhone กันอยู่ ก็ต้องอย่าลืมเตรียมจับจองฟิล์มกระจก Ultimate Glass ของโฟกัสกันไว้ด้วยนะครับ Drop Test มาแล้วว่าสามารถรองรับแรงกระแทกได้มากกว่า 2 เมตร ตอนทุกคนไปซื้อเครื่องจะได้ติดปกป้องกันรอยขีดข่วนได้ทันทีเลย รับรองว่า ทัชลื่น และแสดงภาพได้คมชัดระดับ HD พร้อมรับประกัน 1 ปีเต็ม! มีรองรับตั้งแต่ iPhone 11 ถึง iPhone 15 Pro Max หากสนใจสามารถกดสั่งซื้อที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
2) iPhone 12 Pro สำหรับคนอยากได้รุ่น Pro แบบเริ่มต้น
สำหรับใครที่อยากได้ iPhone รุ่น Pro ในระดับเริ่มต้น iPhone 12 Pro ก็ดูจะตอบโจทย์เลยครับ โดย iPhone 12 Pro จะใช้ชิป A14 Bionic ที่แรงขึ้นมาอีกขั้นนึง ทำให้สามารถใช้งานหรือเล่นเกมได้ลื่นยิ่งกว่าเดิม และหน้าจอขยับมาเป็น OLED แต่ยังมี Refresh Rate เพียง 60Hz เหมือนเดิม
และในส่วนของกล้องยังคงความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่จะมีโหมด ProRaw มารองรับแล้ว พร้อมกับการถ่ายภาพ Portrait ในตอนกลางคืนก็เก็บดีเทลได้ดีขึ้นกว่าเดิม และมีเซนเซอร์ Lidar เข้ามาช่วยประมวลผลภาพ AR ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงรองรับ 5G แล้วด้วย
แต่ด้วยความที่แบตเตอรี่ iPhone 12 Pro ยังคงใกล้เคียงกับรุ่น iPhone 11 คือเล่นวิดีโอได้สูงสุดเพียง 17 ชม. และยิ่งถ้าเปิดใช้ 5G แบบทิ้งไว้หรือเล่นเกมนานๆ ก็อาจจะมีการแบตไหลกันได้ครับ ส่วนความจุเริ่มต้นก็ขยับมาเริ่มต้นที่ 128 GB แล้วก็ทำให้สามารถโหลดแอพ ถ่ายรูปกันได้จุใจกันไปเลย โดยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 28,900 บาทครับ (ราคาอ้างอิงจากตัวแทนจำหน่ายของ Apple)
3) จอใหญ่ สเปคดีที่คุ้มสุดกับ iPhone 13 Pro Max
สำหรับใครที่ชอบแบบจอใหญ่ พร้อมสเปคที่สามารถอยู่กับเราไปได้อีกยาวๆ เลย ก็ต้องเป็น iPhone 13 Pro Max เลยครับ ที่ถือว่าเป็นการเพิ่มเงินจากรุ่นธรรมดาได้คุ้มค่าที่สุด ด้วยความที่เป็นชิป A15 และแบตเตอรี่ก็เล่นได้นานถึง 28 ชั่วโมง ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานค่อนข้างดีเยี่ยม บวกกับความหน้าจอใหญ่ 6.7 นิ้วของรุ่น iPhone 13 Pro Max และ Refresh Rate ที่ปรับได้ถึง 120Hz แล้ว ก็ทำให้การดูคอนเท้นต์หรือเล่นเกมก็จุใจและฟินกว่าเดิมขึ้นไปอีก
และในส่วนของกล้องก็ได้เพิ่มการถ่ายภาพแบบ Macro กับโหมด Cinematic Video เข้ามาเป็นครั้งแรกด้วย ทำให้ภาพและวิดีโอที่ถ่ายมา เราสามารถนำไปปรับแต่งต่อได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทำให้รุ่นนี้คุ้มค่าต่อการลงทุนนั่นเอง โดยรุ่นนี้ราคาประมาณ 39,900 บาทครับ
ดังนั้นประสิทธิภาพกล้องที่ให้มาแจ่มขนาดนี้ ก็ควรจะได้รับการปกป้องอย่างดีที่สุดด้วย “ฟิล์มกระจกเลนส์กล้อง โฟกัส” ที่สุดของการปกป้องเลนส์กล้อง แกร่งเกินร้อย ทนรอยได้ดีที่สุด พร้อมความสวยระดับพรีเมียมกันไปเลย และยังคงความคมชัดของภาพ ให้สีสดเหมือนเดิม จัดจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 290 บาทเท่านั้น
4) iPhone 14 Pro ก็พอทดแทน iPhone 15 ได้
ต่อมาก็คือ iPhone 14 Pro ที่เหมาะสำหรับใครที่อยากได้ iPhone 15 แต่งบในมือมีจำกัดก็แนะนำเป็นตัวนี้ตัวจบเลย เพราะถือว่าสเปคโดยรวม ถ้ามองด้านการใช้งานแบบทั่วไปอาจจะไม่ได้ดูต่างกันมากนัก โดยหน้าจอก็มี Dynamic Island เหมือนกัน เวลาหยิบจับก็ถนัดมือ รวมถึงตอนเล่นเกม ไถฟีดจะลื่นกว่ารุ่นธรรมดา ด้วย Refresh Rate 120Hz และชิปเซ็ต A16 Bionic ที่ทำให้มั่นใจได้เลยว่า iPhone 14 Pro เร็วแรงแน่นอน พร้อมแบตเตอรี่ที่เทียบเท่ากับรุ่น iPhone 15 Pro เลย
ในส่วนของกล้องก็ถือว่าครบและตอบโจทย์มาก กับการอัพเกรดความละเอียดกล้องขึ้นมาเป็น 48 ล้านพิกเซลรุ่นแรก สายคอนเทนต์หรือกราฟฟิกที่ต้องนำภาพไปแต่งต่อ ก็สามารถใช้งานมือถือเครื่องเดียวทำงานได้แบบครบจบ โดย iPhone 14 Pro ตอนนี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 35,900 บาทครับ
4) iPhone 15 Pro Max กับสเปค และฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด
และสุดท้ายสำหรับใครที่งบไม่ใช่ปัญหา และอยากมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีในมือเราจะใหม่สุด และไม่ตกรุ่นกันเร็วๆ นี้แน่นอน ก็ต้องเป็นมือถือ Flagship รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 15 Pro Max นั่นเองครับ แนะนำสำหรับคนที่ซื้อแบบข้ามรุ่นมาเยอะๆ เช่น iPhone 7, 8 Plus, XS หรือ iPhone 11 ก็จะคุ้มค่ามาก และจะรู้สึกถึงความต่างของตัวเครื่องและฟีเจอร์ได้อย่างชัดเจนเลย
ตั้งแต่วัสดุไทเทเนียมที่ให้สัมผัสแบบด้านพร้อมน้ำหนักที่เบาลง และชิป A17 Pro ที่เร็วแรงที่สุดใน iPhone ตอนนี้แล้ว ช่วยให้แบตอึดกว่าเดิมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย พร้อมกล้องซูม 5 เท่าที่รุ่นก่อนหน้าไม่เคยมีมาก่อน และรูชาร์จแบบ Type-C ที่จะใช้กันใน iPhone รุ่นต่อไปอีกยาวเลย ก็คือลงทุนซื้อทีเดียวจบอยู่ได้อีกหลายปี โดย iPhone 15 Pro Max ราคาขายบนเว็บ Apple ตอนนี้จะเริ่มต้นที่ 41,900 บาทครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อ iPhone กันได้ง่ายยิ่งขึ้นนคะ ที่สำคัญซื้อมือถือใหม่ ต้องปกป้องครบรอบด้านด้วยกระจกกันรอยโฟกัสกันนะครับ สามารถสั่งซื้อออนไลน์ที่ด้านล่างนี้กันได้เลย หรือไปติดที่ Focus Store และตัวแทนจำหน่ายได้ทั่วประเทศเลยครับ